Search for:
  • Home/
  • Games News/
  • จับชีพจรเศรษฐกิจโลก-ปัจจัยเสี่ยง ส่องทิศทางลงทุน หุ้นกลุ่มไหนเด่น

จับชีพจรเศรษฐกิจโลก-ปัจจัยเสี่ยง ส่องทิศทางลงทุน หุ้นกลุ่มไหนเด่น

ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว โดยแรงหนุนหลักมาจากภาคบริการ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังคงชะลอตัว เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในหลายๆ ประเทศ

โดยมองว่าวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยได้สิ้นสุดแล้ว และปัจจุบันอยู่ในช่วงนับถอยหลังสู่การปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งหากเจาะลึกลงไปในประเทศหลักๆ จะพบว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐ ยังคงชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Soft Landing) โดยในปีนี้จะชะลอลงจากปีก่อน แต่ยังไม่น่ากังวลมากนัก และคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงกลางปีเป็นต้นไป

ในส่วนของยูโรโซน ถึงแม้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา สามารถพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยมาได้อย่างหวุดหวิด อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของยูโรโซนจะยังคงฟื้นตัวช้าเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ จึงอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าสหรัฐ

สำหรับญี่ปุ่น เศรษฐกิจในปีที่ผ่านมามีการฟื้นตัวและเติบโตขึ้น 1-2% เนื่องจากได้รับอานิสงค์จากการเปิดประเทศ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในปีนี้จะเริ่มชะลอตัว และด้วยเงินเฟ้อที่ระดับ 2% จึงคาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะมีการปรับนโยบายขึ้นมาเป็นบวก

ทางฝั่งของจีน เศรษฐกิจในปีนี้น่าจะชะลอตัวอยู่ที่ระดับ 4-6% จากเดิมปีที่แล้วอยู่ที่ 5% โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงยืดเยื้อ และส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน

สำหรับประเทศกลุ่ม ASEAN 5 ได้แก่ ไทย อินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ คาดการณ์ว่าในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยอยู่ที่ 4.7% สูงขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 4.2% นับเป็นหนึ่งในไม่กี่ภูมิภาคที่มีการเติบโตที่ดี

ในส่วนของไทย ปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวดีกว่าปีก่อนหน้า โดยปัจจัยที่จะสนับสนุนเศรษฐกิจไทย คือ 1) การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลให้การจ้างงานและภาคการบริโภคฟื้นตัวตามไปด้วย 2) การใช้จ่ายของภาครัฐจะเริ่มกลับมาทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ หลังจาก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567 ผ่านสภาในช่วงเมษายน-พฤษภาคม

ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงยังคงเกิดจากการที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวต่อเนื่อง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตร นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ของเศรษฐกิจไทย เช่น ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ต้นทุนสูง ปัญหาเชิงโครงสร้าง ตลอดจนความไม่แน่ในเชิงนโยบาย

จากกระแสและการเติบโตของ Generative AI ซึ่งมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุน นายเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์ CFA ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนทางเลือก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด ได้แชร์มุมมองโอกาสการลงทุนจากกระแสของ AI โดยสรุปว่า นักลงทุนสามารถมองหาโอกาสการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่อยู่ใน Value Chain ทั้งหมดของ AI ได้ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์ หรือ Chip ได้แก่ NVIDIA AMD และ TSMC และกลุ่ม Data Infrastructure ซึ่งเป็นกลุ่มข้อมูลที่ใช้ในการเทรนด์เอไอ รวมถึงแอปพลิเคชันหรือซอฟต์แวร์ที่ผู้บริโภค หรือ End User ใช้งาน ซึ่งหลังจากนี้ จะได้เห็นการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ มากมายคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

หากเจาะจงที่หุ้นในกลุ่ม 7 นางฟ้า หรือ Magnificent 7 ซึ่งประกอบด้วย Apple (AAPL) Amazon (AMZN) Meta Platforms (META) Alphabet (GOOGL) Microsoft (MSFT) Nvidia (NVDA) และ Tesla (TSLA) พบว่าในปีที่ผ่านมา มีการปรับราคาสูงขึ้น ขณะที่หุ้นเทคฯ อื่นๆ ในตลาดยังไม่ปรับราคาสูงขึ้นหรือมีการปรับราคาสูงขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ดังนั้นนับเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะเข้าไปลงทุนเพิ่มเติมได้ ขณะที่หุ้น 7 นางฟ้า ในปีนี้คาดว่ายังคงเติบโตต่อเนื่อง จากผลประกอบการและมุมมองเชิงบวกจากกลุ่มนักวิเคราะห์

ด้าน นายณพกิตติ์ จันทานานนท์ Southeast Asia Client Business Representative BlackRock กล่าวเสริมว่า ในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนจะโฟกัสกลุ่มผู้เล่นที่เป็นกลุ่มผลิต Hardware และ Infrastructure ซึ่งในอนาคต เราเห็นโอกาสในกลุ่มผู้เล่นที่พัฒนาระบบประมวลที่นำเอาข้อมูลไปประยุกต์ใช้ รวมถึงการนำเอา AI ไปเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ บริการใหม่ๆ ในตลาด รวมไปถึง Sub Sector อื่นๆ อาทิ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต บริษัทเกม Content Creator หรือแม้แต่การผลิตพลังงานทางเลือก คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

อย่างไรก็ตาม ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างรวดเร็วของหุ้นกลุ่มเทคฯ ต้องอาศัยการเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็วและปรับพอร์ตตามสถานการณ์อย่างทันท่วงที ซึ่งกองทุน KFHTECH บริหารจัดการโดย BlackRock จะมีทีมผู้จัดการกองทุนประจำอยู่ที่ซานฟรานซิสโก ทำให้เข้าถึงข้อมูลและปรับพอร์ตได้อย่างทันต่อสถานการณ์ การลงทุนจะเป็นแบบ Bottom Up Approach ซึ่งจะมีการทำ Research ว่าบริษัทไหนมีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต มีพื้นฐานที่ดี โดยจะมีความยืดหยุ่นสูง ด้วยการลงทุนในหุ้น 100-150 ตัวจาก Universe 2,500 ตัวทั่วโลก จึงสามารถปรับพอร์ตให้ทันสถานการณ์การลงทุนได้ตลอดเวลา ปัจจุบันสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้ถึง 49.9%

ด้านนายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ได้ให้มุมมองภาพรวมเกี่ยวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ และหุ้นไทยในปีนี้ว่า ช่วงไตรมาส 4/2567 ภาพรวมตลาดหุ้นโต 1.6% แต่หากเอาหุ้นเทคฯ ที่กล่าวถึง 6-7 ตัวออก Earning Growth จะยังคงติดลบอยู่ประมาณ 10%

ดังนั้นจะต้องเพิ่มความระมัดระวัง โดยอาจจะเพิ่มหุ้น Defensive เช่น หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค รวมไปถึงหุ้นกลุ่ม Generative AI ซึ่งหากใครยังไม่มีอาจจะต้องรอจังหวะค่อยๆ สะสมไป รวมไปถึงพันธบัตรรัฐบาลที่น่าสนใจด้วย Yield ที่สูงประมาณ 4% กว่า ถือไว้ยังไงก็ไม่ขาดทุน

ในส่วนของตลาดหุ้นไทยค่อนข้าง Laggard และตอนนี้เข้าข่าย Low Growth, Low Inflation ซึ่งน่าจะปิดปีที่ประมาณ 1,450 แต่ถ้า FED ลดดอกเบี้ยได้เร็ว และตลาดเริ่มฟื้นอาจจะปิดที่ประมาณ 1,500 แนะนำควรจะหลีกเลี่ยงหุ้นใหญ่ และรอดูสัญญาณ Macro ก่อน เน้นหุ้นที่มีธีมชัดๆ และมี Earning Growth ที่ชัดเจน เช่น หุ้นกลุ่ม ICT ได้แก่ TRUE หรือ ADVANC รวมไปถึงกลุ่มสินค้าแฟชั่นอย่าง MC และ Sabina ซึ่งเป็นหุ้นตัวเล็กทั้งคู่ แต่ Perform ค่อนข้างดี นอกจากนี้ ยังคงแนะนำหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่สามารถถือได้ยาวๆ โดยมองเป้า SET Index ไว้ใน 3 กรณี คือ 1) หากมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ 1,717 จุด 2) หากไม่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ 1,644 จุด และ 3) หากเศรษฐกิจเติบโตชะลอ และเงินเฟ้อต่ำ ที่ 1,465 จุด